สงขลา – อนุทินร้องโอโห้เห็นอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองคอหงส์ ใหญ่โตอลังการ เหมา”จิงจูฉ่าย”ซึ่งเป็นพืชผักสมุนไพรฉีนบำรุงร่างกายเกลี้ยงร้าน และยิ่งว๊าวเมื่อรู้ว่าการออกแบบอาคารเทศบาลเมืองคอหงส์ได้ประยุกต์ใช้หลักธรรมพรหมวิหาร 4 ซึ่งเป็นธรรมะของนักปกครองและนักบริหารมาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบสถาปัตยกรรม
พี่เสือ นักข่าวสงขลา
อนุทินร้องโอโห้เห็นอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองคอหงส์ ใหญ่โตอลังการ เหมา”จิงจูฉ่าย”ซึ่งเป็นพืชผักสมุนไพรฉีนบำรุงร่างกายเกลี้ยงร้าน และยิ่งว๊าวเมื่อรู้ว่าการออกแบบอาคารเทศบาลเมืองคอหงส์ได้ประยุกต์ใช้หลักธรรมพรหมวิหาร 4 ซึ่งเป็นธรรมะของนักปกครองและนักบริหารมาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบสถาปัตยกรรม
วันนี้(9ม.ค.68)ที่เทศบาลเมืองคอหงส์ ต.คอหงส์ อ.หาใหญ่ จ.สงขลา นายอนุทิน ชาญวีรกูล
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองคอหงส์ อย่างเป็นทางการ
โดยมีนายทวีศักดิ์ ทวีรัตน์ นายกเทศมนตรีเมืองคอหงส์ หรือนายกหนอน นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ให้การต้อนรับ พร้อมกับหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และนักการเมืองในจ.สงขลา และชาวเมืองคอหงส์มาร่วมในพิธีเปิด ซึ่งเริ่มต้นด้วยพิธีสงฆ์ เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่ นายอนุทิน จะกดปุ่มเปิดป้ายซึ่งเป็นพิธีเปิดอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองคอหงส์ อย่างเป็นทางการ
หลังจากที่เริ่มก่อนสร้างมาตั้งแต่วัน24 ธันวาคม พ.ศ. 2560 และก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2567 ตั้งอยู่ ณ อาคารเลขที่ 999 ถนนปุณณกัณฑ์ ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
นอกจากนี้ยังมีการมอบรางวัล”คนดีศรีคอหงส์” ที่เป็นปูชนียบุคคลที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในอดีตที่ร่วมกันสร้างบ้านสร้างเมืองคอหงส์จนกลายเป็นหนึ่งในเมืองหลักของอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่เจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจการศึกษา
รางวัลที่ 1 ประเภทผู้นำด้านการพัฒนาและการปกครอง
ผู้ได้รับรางวัลได้แก่ นายครั่น ทวีรัตน์อดีตกำนันตำบลคอหงส์และอดีตนายกเทศมนตรีเมืองคอหงส์
รางวัลที่ 2 ประเภทผู้นำด้านปราชญ์ของแผ่นดิน
ผู้ได้รับรางวัลได้แก่ นายลัภย์ หนูประดิษฐ์ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างในด้านความรู้เกษตรกรรมผสมผสาน และภูมิปัญญาท้องถิ่น
รางวัลที่ 3 ประเภทผู้นำด้านสาธารณสุขระดับชาติ
ผู้ได้รับรางวัลได้แก่ นางประดับ สงคราม ท่านเป็นผู้นำการดำเนินงานพัฒนาสุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดย นายอนุทิน เป็นผู้มอบรางวัลให้กับคนดีศรีคอหงส์ทั้ง 3 ท่าน
สำหรับที่มาที่ไปของอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองคอหงส์ นั้นไม่ธรรมดา นายทวีศักดิ์ ทวีรัตน์ นายกเทศมนตรีเมืองคอหงส์ กล่าวว่า เริ่มตั้งแต่สถาปัตยกรรมซึ่งสะท้อนถึงค่านิยมและแนวคิดในการบริหารที่มุ่งเน้นการบริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยการออกแบบอาคารได้ประยุกต์ใช้หลักธรรมพรหมวิหาร 4 ซึ่งเป็นธรรมะของนักปกครองและนักบริหารมาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบสถาปัตยกรรม
และรูปทรงของอาคารตัวอาคารถูกออกแบบให้เป็นรูปทรงสมมาตร ปีกซ้ายและขวาของอาคารมีขนาดและรูปร่างเหมือนกัน เพื่อแสดงถึงการดูแลพี่น้องประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคกัน
เสาใหญ่ทั้ง 4 ต้น ด้านหน้าของอาคารแทนหลักธรรมพรหมวิหาร 4 ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งเป็นแนวทางในการดูแลประชาชนอย่างมีเมตตาและยุติธรรม
ผนังด้านหน้าของอาคารเป็นกระจกใสสะท้อนถึงความโปร่งใสในการทำงาน และเปิดเผยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้อย่างเต็มที่
ตัวอาคารเน้นสีขาวสะท้อนถึงความบริสุทธิ์และความตั้งใจในการปฏิบัติงานให้ดีที่สุด โดมด้านบนหลังคามีรูปทรงยอดแหลมที่พุ่งตรงสู่ท้องฟ้า แสดงถึงการมุ่งมั่นสู่เป้าหมายในการพัฒนาและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหลักของคณะผู้บริหาร สภาเทศบาล และทุกส่วนราชการของเทศบาลเมืองคอหงส์ ที่จะร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการพัฒนาท้องถิ่นและมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับประชาชน
และความใหญ่โตของอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองคอหงส์ นายอนุทิน บอกว่า ทันทีที่เลี้ยวรถเข้ามาพอเห็นเทศบาลเมืองคอหงส์ ก็ถึงกับร้องโอ้โห เพราะว่าใหญ่มากและใหญ่กว่าศาลากลางอีก
ด้านนายอนุทิน ได้มอบนโบบายการทำงานให้กับเทศบาลเมืองคอหงส์ เน้น 5 เรื่องหลักคือ การจัดระเบียบสังคม การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดการสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้ประชาชน การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก และเรื่องน้ำดื่มสะอาดเพื่อประชาชน
นอกจากนี้ยังมีสีสันระหว่างพิธีเปิด โดย นายทวีศักดิ์ ทวีรัตน์ นายกเทศมนตรีเมืองคอหงส์ ได้นำ นายอนุทิน ไปเที่ยวชมหลาดหรือตลาด ซึ่งมีการยกหลาดสายเตราะบ้านในไร่ ตั้งอยู่ในซอย 13 ถนนปุณณกัณฑ์ ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวท้องถิ่นของต.คอหงส์ มาไว้ที่หลังเทศบาลเมืองคอหงส์
โดยนายอนุทิน ได้เดินพบผัก”จิงจูฉ่าย” ของชาวบ้านที่นำมาขายในงานนี้กำละ10บาท ซึ่งเป็นผักสวนครัวข้างเรินปลอดสารพิษ หรือผักที่ชาวบ้านปลูกไว้ข้างบ้าน นำมาขายในตลาดนี้ด้วยมัดละ 10 บาท และเหมาทั้งหมด
ทีแรกนายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ชักเงินในกระเป๋า 1 พันบาท จ่ายให้แม่ค้า แต่ว่านายอนุทิน บอกว่าไม่ต้องพร้อมกับนำแบงค์พันมาจ่ายให้แม่ค้าเอง ส่วนผู้ว่าราชการจ.สงขลาก็เหมาผักที่เหลือทั้งหมด
สำหรับผักจิงจูฉ่ายที่นายอนุทิน เหมาไปนั้น เป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น มีรสชาติขมเล็กน้อย ให้กลิ่นหอม ยิ่งเมื่อถูกความร้อนกลิ่นจะยิ่งหอมมากขึ้น คนจีนนิยมนำมาปรุงอาหารกินในหน้าหนาวเพราะเชื่อว่าจะช่วยปรับสมดุลภายในร่างกาย
ปัจจุบันนิยมนำจิงจูฉ่ายมาทำอาหารหลากหลายชนิด ทั้งผัด ต้ม แกง กินสดเป็นผักแกล้มกับลาบ หรือนำจิงจูฉ่ายมาตากแห้งชงดื่มเป็นชาสมุนไพรก็ได้ แต่การจะกินให้ได้คุณค่าทางโภชนการ ควรจะกินแบบสดๆ เพราะมีสารไลโมนีน ซิลนีน และไกลโคไซด์ชื่ออะปิอิน มีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลความดันเลือดในร่างกาย
นอกจากนั้นสรรพคุณในจิงจูฉ่ายยังมีน้ำมันหอมระเหยอยู่ในใบและลำต้น ช่วยขับลมในกระเพาะอาหารได้ดี ส่วนในลำต้นสดและเมล็ดมีปริมาณโซเดียมต่ำผู้เป็นโรคไตจึงสามารถกินได้